ค้นหา

บทความที่ได้รับความนิยม

พบหมู่บ้านพิลึก ชาวบ้านมีพฤติกรรมชอบทานเนื้อเน่าทั้งหมู่บ้านได้กินเหมือนไม่ได้ขึ้นสวรรค์


พบหมู่บ้านพิลึก ที่อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ชาวบ้านมีพฤติกรรมสุดประหลาดชอบทานเนื้อเน่าทั้งหมู่บ้าน เผยเป็นอาหารโอชะขึ้นชื่อ ใครไม่ได้กินเหมือนไม่ได้ขึ้นสวรรค์

ผู้สื่อข่าวได้ทราบว่าที่หมู่บ้านช่างเคิ่ง หมู่ที่ 4  ต.ช่างเคิ่ง อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ นั้นกลุ่มชาวบ้านภายในหมู่บ้านชอบทานเนื้อเน่า และเป็นอาหารขึ้นชื่อของหมู่บ้าน เมื่อมีงานเทศกาล งานบุญ งานบวช งานศพ ก็จะนำเนื้อเน่ามาทำอาหารกินกัน เมื่อทราบดังนั้นผู้สื่อข่าวจึงได้ตรวจสอบเรื่องข้อ
เท็จจริงดังกล่าว
            
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าว ก็ได้พบกับนายอินทอง เจริญเดช อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นแพทย ต.ช่างเคิ่ง และเป็นประธานชมรมผู้สูงอายุหมู่บ้าน จากการสอบถามนายอินทอง เจริญเดช ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เรื่องที่ชาวบ้านในหมู่บ้านมีการทานเนื้อเน่า หรือที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า "จิ๊นเน่า" ที่ส่งกลิ่นเหม็นหรือจนถึงขั้นมีหนอนไต่บนเนื้อมารับประทานกันนั้นเป็นเรื่องจริง ซึ่งการกินเนื้อเน่านั้นถือเป็นประเพณีที่ทำสืบทอดกันมายาวนาน โดยเมื่อสมัยก่อนนั้นผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านได้นำวัวควายไปเลี้ยงในป่า จากนั้นก็พบว่าวัวควายที่นำไปเลี้ยงเกิดตายขึ้นมา

จึงได้ทิ้งซากไว้ เมื่อกลับไปดูก็พบว่ากลุ่มนกแร้งมาจิกกินหมด เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนั้นบ่อยครั้งทางผู้เฒ่าผู้แก่ จึงคิดว่าเมื่อนกแร้งกินได้ คนก็ต้องกินได้ 

เมื่อวัวควายตาย และเห็นว่าเนื้อเน่าแล้วจึงได้ถลกหนัง เอาหัวและหนังกองทิ้งไว้ ส่วนเนื้อที่เน่านั้นก็ได้ใช้มีดผ่าเอาหนอนที่ไต่ตอมออก และนำเนื้อ

กลับมาเพื่อนำมาปรุงอาหาร พอกินเข้าไป ก็รู้สึกว่ามันอร่อยด้วยความติดใจในรสชาติอาหารจากเนื้อเน่า จึงกลายเป็นการแสวงหาวิธีการทำเนื้อเน่าและกินกันเรื่อยมา
            
ปัจจุบันนี้ภายในหมู่บ้านเมื่อมีกิจกรรมงานประเพณี งานบุญ งานมงคล หรืองานศพ มีกำหนดงานขึ้นหลายวัน เริ่มงานวันแรกก็มีเลี้ยงข้าวปลาอาหารเป็นปกติ จากนั้นทางเจ้าภาพงานก็จะแบ่งจัดหาเนื้อวัวเนื้อควายส่วนหนึ่งของงานตามความเหมาะสมที่จะเลี้ยงแขกในวันงานวันสุดท้ายคือ เนื้อเน่า โดยการหมักเนื้อเอาไว้ฝังผูกแขวนไว้ให้เน่า แล้วนำมาทำอาหารเลี้ยงผู้คนในงานปิดท้ายงานนั้นๆ ในปัจจุบันชาวบ้านก็ยังรับประทานอาหารที่ทำจากเนื้อเน่ามาตราบจนทุกวันนี้
            
นายอินทอง เล่าต่อไปว่า ปัจจุบันวัวควายที่ล้มตายในป่าหรือเนื้อเน่านั้นหายาก ทางกลุ่มชาวบ้านจึงได้คิดค้นการทำเนื้อเน่าขึ้นมา โดยได้หันไปซื้อเนื้อวัว เนื้อควายสด ตามตลาดมา เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ได้ทำความสะอาดอะไรเลย เพราะจะทำให้เสียรสชาด 

จากนั้นก็ก่อไฟแรงพอประมาณ นำเนื้อสดทั้งหมดที่ได้มาย่างไฟได้แล้ว ก็จะนำเนื้อไปใส่ไว้ในถุงพลาสติกใส ประมาณ 2 - 3 ชั้น แล้วก็ใส่ไว้ในกระสอบปุ๋ยสีขาวอีกชั้นหนึ่ง รัดปากถุงให้แน่น 

ซึ่งวิธีการทำก็จะนำไปฝังดินก็จะขุดหลุมลึกๆ แล้วก็กลบให้มิดชิด หากนำไปห้อยไว้กับต้นไม้ก็จะแขวนไว้สูงๆ ที่มีแสงแดดส่องอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เนื้อนั้นเกิดการหมักตัวและเน่าเร็วขึ้น อีกอย่างก็เพื่อกันไม่ให้สุนัขหรือสัตว์ต่าง ๆ มาขุดคุ้ยได้ 

พอเวลาผ่านไป 4 - 7 วัน ก็จะทำการขุดเอาเนื้อที่ฝังไว้ขึ้นมา หรือนำเนื้อที่ห้อยอยู่ลงมาจากต้นไม้ พอนำลงมาก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่า คล้ายกับสัตว์ตายตลบอบอวลไปทั่ว พอแกะถุงที่ห่อออกมาก็
จะพบว่ามีน้ำจากการเน่าของเนื้อนั้นอยู่ภายในถุงจำนวนมาก ถ้าเห็นว่าเป็นเช่นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีและเนื้อก็หมักได้ที่แล้ว 

จากนั้นก็จะนำเนื้อดังกล่าวไปปรุงอาหาร โดยการแกะถุงออกมาแล้วนำไปล้างน้ำเปล่า 1 ครั้ง จากนั้นก็จะนำเนื้อเน่ามานึ่งให้สุกนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง โดยนำผักชี ต้นตะไคร้ ใบมะกรูด ยอดสัมป่อย วางทับลงในหม้อนึ่ง เมื่อเปิดดูจะเห็นเนื้อสภาพสีคล้ำ โชยกลิ่นเหม็นโชยตลบอบอวล 

แต่ชาวบ้านจะได้กลิ่นเป็นหอมชื่นใจ เมื่อได้กลิ่นยั่วน้ำลายทำให้อยากกินเนื้อเน่าใจจะขาดไอจากเนื้อเน่านึ่ง จะทำให้น้ำลายหกหิวข้าวอย่างฉับพลันทันที 

ส่วนแม่ครัวก็จัดเตรียมตำน้ำพริกข่า น้ำพริกขี้หนูเผ็ด ใช้เนื้อเน่าที่นึ่งสุกจิ้มทานกับข้าวเหนียวอร่อยมาก ซึ่งในช่วงที่ทำนั้นคนทำต้องทำไปปิดจมูกไป แต่พอทำเสร็จทุกคนต่างดีใจที่ได้กินอาหารอร่อยที่รอคอยมานาน
            
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นำเนื้อเน่ามาปรุงอาหารเสร็จแล้วเนื้อเน่าดังกล่าวก็ถูกนำเสริฟขึ้นโต๊ะอาหารชาวบ้านนั่งล้อมวงกันสลับกันหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่จานแบ่งกันทานเป็นกลุ่มใหญ่คนในหมู่บ้านหลายรุ่นอายุส่วนมากผู้สูงอายุนิยมทานกันมากถือได้ว่า เนื้อเน่า หรือจิ๊นเน่า เป็นอาหารรสเยี่ยมที่เลิศรส หาทานได้ยาก 

โดยชาวบ้านที่ล้อมวงกันทานเนื้อเน่าปรุงสุกได้บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ปกติเนื้อที่ทานมันต้องเน่ากว่านี้ ถึงจะได้รสชาดอร่อยถึงใจ เนื้อที่ทานอยู่หมักฝังไว้แค่ 4 วัน เท่านั้นจะให้เหมาะพอดีต้อง 7 
หรือ 10 วัน จะได้เนื้อนุ่มเปื่อยนุ่มดี ช่วงที่ชาวบ้านร่วมกันรับประทานนั้นทุกคนที่รับประทานมีสีหน้าที่เรียบเฉย โดยในจานใส่เนื้อเน่าที่ปรุงแล้ว 

ปรากฏว่ามีแมลงวันจำนวนมากมาตอมอาหารด้วย แต่ชาวบ้านก็ไม่ได้สนใจ ยังคงกินอาหารกันไปเรื่อยๆ โดยบอกว่าแมลงวันนั้นเป็นสิ่งประกอบเรื่องของสีสัน 

โดยชาวบ้านไม่เชื่อว่าแมลงวันจะเป็นพาหนะนำเชื้อโรคมาสู่ร่างกาย แต่คิดว่าเหมือนกับเป็นเพื่อนร่วมวงที่มาร่วมรับประทานอาหาร ซึ่งทุกคนไม่มีใครรังเกียจหรือสนใจกลิ่นที่โชยออกมาเลย แถมยังยกนิ้วให้ว่าเป็นสุดยอดของอาหาร หรือเป็นอาหารที่เลิศหรูที่สุดในหมู่บ้านและมีแห่งเดียวในโลกด้วย หากใครไม่ได้กินเนื้อเน่าในหมู่บ้านแห่งนี้ก็เหมือนกับมาไม่ถึงและไม่ได้ขึ้นสวรรค์

Translate

รายการบล็อกของฉัน